UPDATE: อีลอน มัสก์ ให้สัมภาษณ์ว่า “อดใจรอไม่ไหว” ที่จะได้ประสานความร่วมมือแก้ปัญหาโลกร้อนกับ โจ ไบเดน

UPDATE: อีลอน มัสก์ ให้สัมภาษณ์ว่า “อดใจรอไม่ไหว” ที่จะได้ประสานความร่วมมือแก้ปัญหาโลกร้อนกับ โจ ไบเดน
.
อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ก่อตั้งบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า Tesla และบริษัทเทคโนโลยีอวกาศ SpaceX ได้ให้สัมภาษณ์กับ Fortune ผ่านทางโทรศัพท์เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มกราคมที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น โดยบอกว่า เขาแทบจะ “อดใจรอไม่ไหว” และรู้สึกดีมากๆ ที่จะได้เห็น โจ ไบเดน ในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ดำเนินงานแก้ไขปัญหาด้านสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม และภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง
.
มัสก์ กล่าวว่า “ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ และรู้สึกมีมุมมองที่บวกสุดๆ เกี่ยวกับอนาคตของพลังงานที่ยั่งยืนภายใต้การทำงานของคณะรัฐบาลชุดใหม่
.
“ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ที่คณะทำงานรัฐบาลชุดใหม่โฟกัสให้ความสำคัญกับประเด็นความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ
.
“ทีมงานของผมสนับสนุนประเด็นการพัฒนา และดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี และพวกเขาก็รู้จักทีมงานหลายคนที่ไบเดนแต่งตั้งเข้ามาด้วย ดังนั้นแล้วพวกเราพร้อมจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพื่อให้ความช่วยเหลือคณะรัฐบาลชุดใหม่ในการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม และการแก้ปัญหาโลกร้อน”
.
เขายังพูดติดตลกอีกด้วยว่า โดยส่วนตัวเขาเองอยากจะติดต่อเพื่อเข้าพูดคุยกับคณะทำงานของไบเดนให้รู้แล้วรู้รอดด้วยซ้ำ แต่ก็เข้าใจดีว่า การทำงานในช่วงสัปดาห์แรกของทีมงานไบเดนน่าจะยุ่งไม่ใช่น้อย
.
สำหรับประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ โจ ไบเดน ถือเป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับการผลักดันนโยบายสีเขียว ซึ่งจะพึ่งพาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นนโยบายที่เขาได้โปรโมตไว้ในช่วงหาเสียง
.
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ไบเดนยังได้ประกาศแผนงานเปลี่ยนยานพาหนะในหน่วยงานรัฐบาลกลางทั้งหมดให้เป็นยานยนต์พลังงานสะอาด ซึ่ง Tesla ที่เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลำดับต้นๆ ของประเทศก็จะได้รับอานิสงส์จากประโยชน์ดังกล่าวไปเต็มๆ
.
ประกอบกับธุรกิจอื่นๆ ที่ Tesla ดำเนินอยู่ เช่น โซลาร์เซลล์, แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน สถานีชาร์จประจุไฟฟ้า ไปจนถึงสโตเรจกักเก็บพลังงานก็จะพลอยได้รับผลกระทบเชิงบวกจากนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวของไบเดนด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีคนก่อนอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ มองข้ามและไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควรจะเป็นมาตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เขาดำรงตำแหน่ง
.